อยากทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ต้องรู้จักภาษีให้ดีก่อน

Last updated: 12 ธ.ค. 2566  |  328 จำนวนผู้เข้าชม  | 

อยากทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ต้องรู้จักภาษีให้ดีก่อน

สำหรับธุรกิจนำเข้าส่งออกสินค้าเป็นธุรกิจที่ผู้คนหันมาทำกันเยอะมาก ๆ ในปัจจุบัน โดยในการทำธุรกิจด้านนี้สิ่งสำคัญที่ต้องเจอและหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือ เรื่องของภาษี ที่มีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมากมายเลย และมีภาษีที่เกี่ยวข้องหลากหลายประเภท ทำให้ใครที่ต้องการทำธุรกิจด้านนี้จำเป็นต้องศึกษาเรื่องภาษีเอาไว้ให้ดี เพราะเรื่องนี้สามารถส่งผลต่อการทำธุรกิจได้เลย แล้วภาษีที่สำคัญในการนำเข้าและส่งออกสินค้ามีอะไรบ้าง มาดูกัน

การนำเข้า-ส่งออกสินค้าคืออะไร?

การนำเข้า คือ การนำสินค้าเข้ามายังราชอาณาจักร โดยจะเป็นการนำเข้ามาผ่านพิธีการทางศุลกากร ส่วนการส่งออก ก็คือ การนำสินค้าส่งออกจากราชอาณาจักรไปยังต่างประเทศ ซึ่งเป็นการส่งออกผ่านพิธีการทางศุลกากรเช่นกัน
 

ภาษีสำหรับการนำเข้าบริการ

การนำเข้าบริการ เป็นการใช้บริการใด ๆ ก็ตามที่อยู่ในราชอาณาจักร โดยบริการนั้นจะต้องเกิดขึ้นมาจากต่างประเทศเป็นผู้กระทำขึ้น ทั้งนี้ก็จะมีภาษีที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการนำเข้าบริการที่สำคัญอยู่ 2 ประเภท ดังนี้

1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ภาษีมูลค่าเพิ่ม คือภาษีที่ทางกรมสรรพากรจะเป็นผู้กำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องจ่ายจากการนำเข้าบริการ โดยได้มีการกำหนดเอาไว้อยู่ที่ 7% ของมูลค่าบริการที่มีการนำเข้า ในการรับผิดทางภาษีจะเกิดขึ้นจากการชำระค่าบริการที่จะต้องมีการยื่นชำระชำระภาษีโดยแบบ ภ.พ.36 ในเดือนถัดไป 

2. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นภาษีที่ใช้ในการนำเข้าบริการที่มาจากต่างประเทศ โดยทางกรมสรรพากรจะเป็นหน่วยงานที่กำหนดข้อกำหนดเพิ่มเติมเอาไว้ให้กับนิติบุคคลผู้จ่ายเงินได้ประเภท 40(2)-40(6) เช่น ค่าเช่า หรือค่าลิขสิทธิ์ ซึ่งจะเป็นการหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% พร้อมกับการยื่นแบบ ภ.ง.ด.54 ในเดือนถัดไป

ภาษีสำหรับการส่งออกบริการ

ส่วนต่อมาจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาษีสำหรับการส่งออกบริการ ที่จะเป็นการนำเอาบริการใด ๆ ก็ตามของประเทศ หรือภายในราชอาณาจักรไปให้บริการในต่างประเทศ โดยในการส่งรายงานก็จะส่งผ่านทาง e-mail ที่ผลประโยชน์จะต้องเป็นของบริษัทที่อยู่ในต่างประเทศเท่านั้น อย่างไรก็ตามในส่วนนี้ก็มีภาษีที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นก็คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม

1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีที่จำเป็นต้องจ่ายเช่นกันในการส่งออกบริการ โดยในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของการส่งออกบริการทางกรมสรรพากรได้กำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ 0% หรือไม่ต้องเสียเลยนั่นเอง แต่ทั้งนี้ผู้ประกอบการก็จำเป็นที่จะต้องมีการออกใบกำกับภาษี และนำส่งแบบ ภ.พ.30 ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปด้วย


ภาษีสำหรับการนำเข้าสินค้า

ต่อมาจะเป็นในส่วนของภาษีการนำเข้าสินค้าที่ความจำเป็นต้องรู้เลย หากว่าทำธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้ามาจากต่างประเทศ โดยภาษีการนำเข้าที่ต้องมีดังนี้

1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีที่ต้องจ่ายเมื่อมีการนำเข้าสินค้า โดยผู้นำเข้าจะถูกเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหากว่ามีการนำเข้าสินค้าเข้ามาเกินกว่าที่กฎหมายได้กำหนดเอาไว้นั่นเอง

 

ภาษีสำหรับการส่งออกสินค้า

ในการส่งออกสินค้าก็มีภาษีที่สำคัญและจำเป็นต้องชำระอยู่เช่นกัน โดยจะมีภาษีที่สำคัญต่อการส่งออกสินค้าอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่

1. อากรขาออก

สิ่งแรกที่ต้องชำระเมื่อทำการส่งออกสินค้า คือ การชำระอากรขาออก โดยเดิมทีแล้วทางกรมศุลกากรได้มีการกำหนดอัตราอากรเอาไว้ให้กับสินค้าทั้งหมด 9 ประเภท แต่ปัจจุบันนี้สินค้าเหล่านั้นก็ได้รับการยกเว้นเกือบทั้งหมด จะเหลือก็เพียงแค่สินค้าที่เป็นหนังกระบือ หนังโค หรือว่าสินค้าที่ออกมาจากพื้นที่พัฒนาร่วมตามกฎหมายองค์กรร่วมไทย - มาเลเซียเท่านั้นที่จะต้องชำระค่าอากรขาออกนั่นเอง

2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ภาษีมูลค่าเพิ่มก็อยู่ในส่วนของภาษีที่ต้องชำระเช่นกันหากว่ามีการส่งออกสินค้า โดยผู้ที่ส่งออกสินค้าจะเป็นผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีหน้าที่ในการเสียภาษีในอัตรา 0% ซึ่งจะเหมือนกันกับการส่งออกบริการ พร้อมกันนี้ก็จะต้องมีการออกใบกำกับภาษีและยื่นแบบแสดงรายการ ภ.พ.30 ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปด้วย

 

สรุปบทความ

ในการทำ ธุรกิจส่งออก และนำเข้าสินค้านั้น จะเห็นได้เลยว่ามีเรื่องของภาษีเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะมาก ๆ เลย และภาษีแต่ละประเภทก็มีเงื่อนไขและอัตราการเสียภาษีที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เหล่าคนทำธุรกิจนำเข้าส่งออกสินค้าควรรู้เอาไว้และควรให้ความสำคัญ เพราะเรื่องภาษีสามารถส่งผลต่อการทำธุรกิจในอนาคตได้เลย

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้